4 ปีในจุฬา ของพี่ต้นสัก
ไหนๆก็เรียนจบแล้ว วันนี้เลยอยากมาเล่าว่าระหว่างเรียนแอดต้นสักไปเจออะไรบ้าง


ปี 1
ตอนเพิ่งเข้ามหาลัยแรกสุดก็โดน COVID 19 เล่นงาน ทำให้การเรียนการสอนทั้งหมด รวมถึงกิจกรรมหลายๆ อย่างโดนบังคับให้จัดออนไลน์ ทีนี้เลยกลายเป็นว่าทำความรู้จักเพื่อนใหม่ในคณะเดียวกันได้ยากขึ้นเพราะไม่ได้เจอหน้าและมีกิจกรรมที่ทำด้วยกันขนาดนั้น (จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมีเพื่อนอ่านะ)
ส่วนเวลาที่เหลือก็ใช้กับการปรับตัวเพราะทั้งเพิ่งขึันมหาลัยและเป็นยุคแรกๆ ที่มีการเรียนออนไลน์ ไม่ค่อยมีวิชาไหนที่เช็กชื่อ แล้วก็มีการอัดคลิปไว้ให้ดูย้อนหลังถ้าตื่นมาเรียนไม่ทันด้วย ทำให้มีความสนใจเรียนน้อยลงถ้าเทียบกับสมัยมัธยม
ตอนสิ้นสุดปี 1 ก็จะมีการเลือกภาควิชาที่จะอยู่ในปี 2 ขึ้นไป โดยจะเรียงลำดับตามผลการเรียนในปี 1 และจะมี weight คะแนนในบางวิชาที่แตกต่างกัน ซึ่งก็แล้วแต่ภาคที่จะเลือก แต่ในตอนนั้นก็ยังไม่ชินกับการเรียนออนไลน์เท่าไหร่ เลยทำให้ผลการเรียนดรอปไปจนไม่ถึงภาควิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (ตอนนั้นเหมือนจะสิ้นสุดที่แถวๆ top 100 ซึ่งคือเกรด 3.2 ปลายๆ) ก็เลยได้เป็นภาคโยธาที่เลือกไว้เป็นลำดับที่ 2 เพราะก็ชอบงานในส่วนภาคสนามอยู่แล้วด้วย
ปี 2
ทีนี้ตอนขึ้นปี 2 ก็ได้มีโอกาสมาเรียนในพื้นที่มหาลัยมากขึ้น พร้อมกับได้เริ่มเจอสังคมเพื่อนในภาควิชาใหม่ ก็เลยได้ชวนกันไปลงวิชาเลือกของคณะอักษร ชื่อ Intensive Japanese I แล้วก็ไปทริปภาคด้วยกันในช่วงปี 2 เทอม 2 ด้วย
หลังจากที่เรียนจบปี 2 แล้ว ก็ได้ลองทำเรื่องย้ายภาคไปด้วยความคิดว่า ส่วนตัวก็ชอบทั้งสองภาคคือภาคคอม กับภาคโยธาอยู่แล้ว เลยอยากลองทำเรื่องย้ายดู ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าได้ก็ดีแต่ต้องตามเนื้อหาที่ต้องเรียนของภาคคอม สุดท้ายผลลัพธ์คือย้ายภาคได้ ก็เลยตกลงที่จะเรียนภาคคอม (เนี่ยเกือบไม่ได้มีเพจนี้ละนะ 🤣)
ปี 3
พอย้ายภาคตอนขึ้นปี 3 เรียบร้อย ก็เลยกลายเป็นว่าต้องตามเรียนเนื้อหาปี 2 และ 3 ของภาคคอมไปพร้อมๆ กัน ทำให้หน่วยกิตทุกเทอมหลังจากนั้นเต็มหมด (ของจุฬาเต็มที่ 22 หน่วยกิต/เทอม) ก็เลยรู้สึกเบื่อที่เรียนอย่างเดียว เลยไปลองหากิจกรรมที่ในภาคจัดตอนนั้น
ซึ่งก็บังเอิญว่ามีแล็บนึงเปิดแสดงผลงานทางด้าน Computer Graphics (CG) โดยเป็นการสร้างฉาก 3 มิติผ่านการใช้ภาพถ่ายหลายๆ มุมมาประกอบเข้าด้วยกัน เลยทำให้เกิดความสนใจและลองเข้าไปติดตามผลงานว่าทำกันยังไงบ้าง ทำไปทำมาเลยกลายเป็นกึ่งๆ สมาชิกแล็บไปด้วย เพราะได้ project มาทำตอนช่วงปิดเทอมเดือนธันวา แล้วก็รู้สึกว่าสนุกดี ทำให้แวะไปแล็บบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไปทำงาน (และไปหลับบางครั้ง) จนอาจารย์จำหน้าได้
ตอนปี 3 เทอม 2 ก็รู้สึกว่าเริ่มที่จะมีเวลาว่างมากขึ้นเพราะเป็นช่วงที่ตารางเรียนเริ่มเปิดให้วิชาเลือกมากขึ้น ก็เลยทำให้อยากลองเป็น TA วิชาที่เคยเรียนมา เพราะส่วนตัวเป็นคนที่อยากช่วยคนอื่นอยู่แล้ว (+ มีเงินตอบแทนค่า TA ด้วย 😆) เลยอยากที่จะแนะนำรุ่นน้องว่าควรเรียนยังไงจากประสบการณ์คนที่เคยผ่านวิชานั้นมาก่อน พอได้สอนไปสักพัก เลยทำให้เริ่มรู้ว่า แต่ละเนื้อหามีตรงไหนบ้างที่มีโอกาสติดขัด รวมไปถึงได้สกิลสื่อสารกับคนให้รู้เรื่องด้วย
ส่วนสังคมในภาคใหม่ก็ไม่ได้หาเพื่อนได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเพิ่งย้ายภาคเข้ามาตอนปี 3 ด้วย ทำให้คนที่เคยอยู่ในภาคก่อนหน้านั้นมีกลุ่มเพื่อนเป็นของตัวเองแล้ว รวมกับคนในภาคค่อนข้างที่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวระดับนึง เลยทำให้รู้สึกเข้าหาได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก
การฝึกงานก็เริ่มต้นตอนช่วง summer ปี 3 ซึ่งสายงานที่ได้เลือกทำคือ CG เนี่ยแหละ ทำกับบริษัทที่เกี่ยวกับการช่วยศัลยกรรมใบหน้า โดยใช้ภาพจากเครื่องสแกนหน้าและพื้นผิวด้านหน้าของใบหน้า แล้วเอามาทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงผลว่า รูปหน้าระหว่างก่อนและหลังทำใบหน้าจะมีลักษณะยังไงให้กับคลินิกที่เป็น partner ไว้ใช้กับคนที่มาใช้บริการ
ปี 4
พอขึ้นปี 4 มาแล้ว ก็เจอกับงานมหาศาลก็คือวิชาปี 3 ที่ขึ้นชื่อว่า project หนักเช่น SE, Network รวมกับ project จบของปี 4 ที่มาควบคู่กัน รวมกับทำเพจนี้ควบคู่กันไปด้วย 😅 เลยทำให้ต้องลดเวลาที่ใช้กับการทำงาน TA ลงเพื่อเคลียร์งานส่วนตัวแทน
งานในแล็บก็เริ่มมีส่วนร่วมน้อยลง แต่ยังแวะไปเยี่ยมที่แล็บบ้าง (บางครั้งก็หลับคาห้องแล็บ) เลยทำให้ได้ไปเจอเพื่อนใหม่ที่ค่อนข้างสนิทในตอนนี้ด้วย เลยชวนกันไปทำ TA ในวิชาแล็บอีกวิชา ด้วยสาเหตุว่าอยากช่วยน้องอีกเช่นเคย (หรืออยากแกล้งก็ไม่รู้ 555)
ตอนทำ TA ช่วงหลังๆ
แต่ TA ในปี 4 เริ่มทำยากขึ้น เพราะน้องๆ เริ่มใช้ chatbot กันมากขึ้น แล้วก็ไม่ค่อยที่จะถาม TA ถึงแม้จะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ทำให้ต้องเข้าหาน้องมากขึ้นและพยายามให้น้องๆ อธิบายว่าสิ่งที่เข้าใจคืออะไร และ code ที่ได้ว่าทำงานยังไง แต่เกิดปัญหาที่ว่า น้องๆ ไม่เข้าใจสิ่งที่เขียนว่าทำอะไรกันแน่ ทำให้อธิบายไม่ค่อยได้ตามไปด้วย แล้วก็บ่นว่าเอกสารเข้าใจยากกับยาวไปเลยใช้ chatbot มาช่วยเขียนแทน
การที่น้องใช้ chatbot มันก็โอเคแหละ ถ้าเข้าใจสิ่งที่มันเขียนกลับมา แต่ติดที่ว่าไม่ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้มา รวมถึงเชื่อใจ chatbot มากจนเลือกที่จะไม่ค่อยถาม TA ที่พร้อมช่วยเหลือในห้อง แล้วก็ไม่ได้อยากให้พึ่งพา chatbot ตอนที่เพิ่งเรียนรู้แรกๆ เพราะมันแทบไม่สามารถ confirm ได้เลยว่าเข้าใจถูกมั้ย ยกเว้นแต่จะถามคนที่รู้อยู่แล้ว ไม่ก็เลือกเรียนรู้เอง
บทส่งท้าย
ส่วนตัวแล้วก็อยากจะบอกว่า อันนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่อยากจะแนะนำกับหลายๆ คนที่มาอ่านว่า จริงๆ แล้วชีวิตในมหาลัย ไม่จำเป็นต้องเรียนแค่อย่างเดียวก็ได้ แล้วก็อยากให้ใช้ชีวิตในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ให้เต็มที่ เพราะอาจจะมีเรื่องที่มีโอกาสได้ทำหลังจากนั้นยาก แล้วไม่ได้ทำอีกเลยก็ได้